วันอังคาร, เมษายน 25, 2560

Tsugumomo ภูติสาวแสบดุ ตอนที่ 4


วันอังคาร, เมษายน 18, 2560

Tsugumomo ภูติสาวแสบดุ ตอนที่ 3


วันอังคาร, เมษายน 11, 2560

Tsugumomo ภูติสาวแสบดุ ตอนที่ 2


วันพุธ, เมษายน 05, 2560

Because I'm a Weapon Shop Uncle เพราะชั้นคือตาลุงร้านขายอาวุธยังไงล่ะ! : 21 ตาลุงกับ Miss วิญญาณ

Chapter 21: ตาลุงกับ Miss วิญญาณ


ตอนที่ชั้นได้สติ ชั้นก็นอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว ไร้เรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง


ถึงชั้นอยากจะลงไปคลุกฝุ่นแบบหล่อๆหลังจากการต่อสู้ยุติลง และเช็ดเลือดที่มุมปากด้วยแขนเสื้อ จากนั้นก็พูดว่าชั้นไม่เป็นไรก็เถอะ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ


โฮ่ย คนที่ดูอยู่คงล้อชั้นแน่ๆ


ด้วยท่าทางที่ดูน่าอนาถแบบนี้ ชั้นไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้และหมดสติลงอย่างไม่เอาไหน


การที่คุยโวเรื่องการปกป้องพวกพ้องของชั้นมันก็เป็นได้แค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น ชั้นต้องคิดไตร่ตรองให้ดีๆ จำเป็นต้องคิดอย่างจริงจังด้วย


หลังจากที่ชั้นตื่นขึ้น ชั้นก็เห็นอีแลนนอนอยู่ข้างๆ หยดน้ำตาไหลลงมาตามขนตายาวๆของเธอ และเปลือกตาของเธอก็บวมแดงไปหมด เธอไม่กล้าแม้แต่จะกอดชั้นด้วยซ้ำ ทำแค่ซบลงบนอกชั้นอย่างระมัดระวัง


ชั้นลูบหัวเธอเบาๆ และเธอก็ลืมตาขึ้น


หลังจากจ้องมาที่ชั้นตอนแรก ตาโตๆทั้งสองข้างทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา จากนั้นเธอจึงกอดชั้นขณะที่ร้องไห้ไปด้วย


“ฮือออออ ฟืดๆ ฮึกๆ ฮือออ แงงงงงงงง ทั้งหมดเป็นความผิดขอ……”


“ยัยบ้าเอ๊ย”


ชั้นกอดเธอไว้ ร่างกายของอีแลนนั้นมีขนาดเล็กและยังส่งกลิ่นเฉพาะตัวของเด็กน้อยออกมา


“ชั้นยังพูดไม่จบนะ ไม่เป็นไรหรอก จากนี้ไป ชั้นจะไม่มีทางเกลียดอีแลนอย่างแน่นอน เพราะงั้นไม่ต้องกังวล ตราบเท่าที่ชั้นยังมีชีวิตอยู่ อีแลนก็คือครอบครัวของชั้น”


“อุ…”


ดูเหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ใบหน้าเธอดูสงบมากตอนที่หลับอยู่ ถ้าเธอยิ้มได้ตอนที่ฝันอยู่ มันก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ


ชั้นไม่รู้ว่าคาโลน่าไปไหน ส่วนเจ้าขนปุยเองก็น่าจะอยู่กับพวกม้าในคอก


ต้องบอกว่า มีบางอย่างที่ชั้นจำเป็นต้องทำตอนนี้


“ถึงชั้นจะสัมผัสไม่ได้ว่าเธออยู่ตรงไหน แต่ออกมาเถอะ”


ชั้นพูดกับคนที่ชั้นมองไม่เห็น


โฮ่ยย ชั้นรู้น่ะว่าการพูดอะไรเสียงดังแบบนี้มันดูปัญญาอ่อนน่ะ เนื่องจากชั้นไม่สามารถมองเห้นหรือได้ยินเธอ แล้วชั้นจะรู้ได้ไงว่าเธอตอบว่าอะไร?


โชคดีที่มีแค่ชั้น ชั้นเข้าใจผิด เข้าใจผิด


“ไม่ต้องซ่อนแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางที่ชั้นจะสู้กับเธอเลย”


ถึงชั้นจะไม่รู้ว่าเธอจะปรากฏตัวรึเปล่า แต่ชั้นก็เอ่ยประโยคนี้ออกไปในทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศน่าอึดอัด


แม้ว่าเธอจะไม่ปรากฏตัวออกมา ด้วยวิธีนี้ เธอก็จะเชื่อว่าชั้นเข้าใจผิดว่าเธอพูดได้ ถ้าชั้นไม่จัดการเรื่องนี้ให้จบๆไป มันคงจะน่าอึดอัดแน่ๆ


หลังจากนั้น ภาพที่ชั้นเห็นก็เปลี่ยนเป็นสีขาว


วิญญาณตนนั้น ลอยมาใกล้ชั้นสุดๆ เธอยังคงสวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวเหมือนตอนที่ชั้นเห็นเธอครั้งแรก


สายตาของชั้นเลื่อนตามชุดผ้าฝ้ายลงไป และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเป็นผีอย่างแน่นอน เธอไม่มีเท้า


หลังกลืนน้ำลายที่ท่วมเต็มปากลงไป ชั้นเตรียมตัวเตรียมใจ และค่อยๆขยับสายตาขึ้น


ทันใดนั้นใบน่าที่ดูน่ากลัวก็……….เอ๋?


…..


“เธอเป็นใคร?”


ชั้นถามออกไปอย่างไม่ลังเล


ผมเธอถูกหวีอย่างประณีต ผมสีดำยาวลงไปถึงเอวเหมือนกับน้ำตก


ปากของเธอถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดง อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอไม่ได้ยิ้ม รูปร่างเธอก็เปลี่ยนจากแปลกๆไปเป็นน่าเย้ายวนใจ


หน้าตาของเธอไม่มีอะไรแปลก เธอสวยจริงๆ เธอมีแม้กระทั่งแว่นตาสีดำด้วยซ้ำไป


เธอดูเป็นหญิงสาวที่มีอายุอยู่ราวๆ 16 ปี เธอให้ความรู้สึกเหมือนคาโลน่า แต่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ดูแก่เลย


ยิ่งกว่านั้น เธอยังดูมีประสบการณ์ผ่านความยากลำบาก อย่างอะไรประมาณว่าถูกโลกบดขยี้ลงไป และจากนั้นก็ผ่านการฝึกมาทำให้มีออร่าที่ดูหนักแน่น


จะบอกว่าวิญญาณเองก็ยังมีออร่าหรอ?


“ฉันคือ Miss วิญญาณ”


เธอยิ้มหวาน


ชั้นเข้าใจล่ะ เธอมีสองบุคลิกสินะ ชั้นเคยเห็นแบบนี้ในโลกเก่ามาแล้ว


ยกตัวอย่างเช่น หญิงสาวที่ดูทำตัวเลอะเทอะ มืดมน กลายมาเป็นสาวสวยหลังจากี่ได้แต่งหน้า


นิยายของ ดาไซ โอซามุ เรื่อง Good-Bye เองก็ผู้หญิงสองบุคลิกแบบนี้ ถึงนิยายจะเขียนไม่เสร็จ


เพราะดาไซกับคนรักของเขาจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายไปก็เถอะ


ชั้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


“แล้ว ทำไมเธอถึงอยู่ในป่านี้ล่ะ? ทำไมต้องตามมา?”


Miss วิญญาณ นั่งลงข้างๆเตียง ถึงชั้นจะบอกว่านั่ง แต่มันเหมือนกับว่าเธอหยุดอยู่ตรงนั้นมากกว่า ในเมื่อเธอไม่มีตัวตนเป็นรูปเป็นร่าง


“ชั้นติดอยู่ที่นี่เพราะใครบางคนทำอะไรหลายๆอย่าง และฆ่าชั้นลงตรงนี้ ชั้นเกลียดสถานที่นี้ และเกลียดคนพวกนั้น พอเวลาผ่านไป ชั้นก็เริ่มที่จะเกลียดผืนดิน ดังนั้นชั้นเลยสาปแช่งผืนดิน”


เธอสรุปประสบการณ์ชีวิตของเธอได้อย่างคล่องแคล่ว และไอพวกประสบการณ์หลายๆอย่างที่ว่ามา การไม่ถามถึงมันน่าจะดีที่สุด


“เหตุผลเดียวที่ชั้นตามพวกคุณมา เพราะชั้นสิงอยู่ในสร้อยคอนั่น และคุณเจ้าหน้าที่สืบสวนเป็นคนที่เก็บมันเอาไว้”


“คาโลน่า? เธออยากจะทำอะไรกับมันล่ะนั่น?”


Miss วิญญาณ แสดงรอยยิ้มออกมา


“เธอบอกว่าเธอจะเอามันไปสืบสวน บางทีเธอน่าจะอยากหาตัวคนที่ฆ่าชั้น เธอเป็นคนที่อ่อนโยนจริงๆเลยนะ ชั้นทำเรื่องพวกนั้นและวางแผนที่จะฆ่าพวกคุณทั้งหมด…..”


ชั้นพ่นลมออกจากจมูก


“ยังไงก็ตาม จากที่เธอพูดมา เป็นคาโลน่าที่เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น”


“แค่นั้นหรอ?”


เมื่อพูดอย่างนี้ Miss วิญญาณก็ดูให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว


“ก็นะ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม มันคืออะไรมันก็คืออย่างนั้น เราจะช่วยเธอเรื่องนี้เอง ที่เธอต้องทำก็แค่เดินทางไปกับเราซะ”


“เอ๋?”


“ไม่อยากได้เพื่อนแล้วหรอไง?”


ขณะที่พูด ชั้นก็มองไปยังแสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่างลงมา


ชั้นรู้สึกได้รางๆว่าเมืองดัวฟาไม่ใช่สถานที่สงบสุขสักเท่าไหร่


“มาสเตอร์!! ดีจังเลยที่คุณไม่เป็นอะไร! ชั้นขอโทษสำหรับเรื่องที่ชั้นทำลงไปค่ะ!  ชั้นรับประกันด้วยเกียรติของชั้นเลยว่า จะไม่มีทางผวากับอะไรแบบนี้อีกค่ะ!”


คาโลน่าเปิดประตูเข้ามาและจ้องมองอยู่ครู่นึงก่อนที่จะโค้งตัวลง


“ชั้นไม่เป็นไร ไม่เป็นไร นี่คือ Miss…..เอ๋?”


มองไม่เห็นเธอแล้ว


เมื่อกี้วิญญาณนั่นยังนั่งอยู่ตรงนี้เลยนี่


“คุณกำลังจะบอกอะไรนะคะ?”


“โทษที ไม่มีอะไร”


ชั้นกุมขมับ


“ใช่แล้วค่ะ มาสเตอร์! ชั้นแอบไปสืบอะไรบางอย่างมา ดูเหมือนว่าเมืองดัวฟาจะถูกพวกโจรข่มเหงอยู่เป็นประจำเลยค่ะ”


พอคิดว่านี่เป็นอีกโอกาสนึงที่จะได้ฝึกฝนคาโลน่า ชั้นจึงเปิดปากพูด


“ถ้าอย่างนั้น ในกรณีนี้ ในฐานะที่เธอเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน เธอจะต้องรับผิดชอบปกป้องประชาชน”


“ไม่ค่ะ ชั้นเชื่อว่านี่เป็นบางอย่างที่แม้แต่มาสเตอร์ก็ไม่สามารถรับมือได้ค่ะ”

Because I'm a Weapon Shop Uncle เพราะชั้นคือตาลุงร้านขายอาวุธยังไงล่ะ! : 20 ตาลุงกับคำสาป (3)

Chapter 20: ตาลุงกับคำสาป (3)


ตอนที่ชั้นได้สัมผัสกับอีแลน ชั้นก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้ถูกสิง


ร่างเล็กๆของอีแลนนั้น ปลดปล่อยออร่าที่น่าหวาดกลัวและสยดสยองเกินกว่าจะอธิบายได้


มันมีคนประเภทนึงในโลกนี้ ที่ทำให้ผู้คนเหลีกทางได้ตอนที่เดินผ่าน


ออร่าด้านลบที่แข็งแกร่งของพวกเขา ทำให้บรรยากาศโดยรอบถูกบิดเบือนไป ในกรณีที่ออร่าพวกนั้นเข้ามาใกล้ๆล่ะก็ มันจะทำให้คุณรู้สึกแย่เลยล่ะ และตอนนี้ อีแลนก็กำลังเป็นแบบนั้นอยู่


ชั้นเข้าใจแล้ว อีแลน นี่เป็นความผิดของชั้นเอง


อีแลนอาศัยอยู่กับชั้นมาเป็นปีแล้ว ระหว่างนี้ ชั้นพยายามจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว อีแลนนั้นไม่เคยผ่อนคลายได้จริงๆเลย เรื่องร้ายๆที่เธอพบมาในอดีตมันยังสร้างความกลัวฝังแน่นอยู่ในใจของเธอ


ชั้นไม่เคยบอกกับเธออย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชั้นจะไม่มีวันทิ้งเธอ


คงจะดีกว่าถ้าพูดไปแบบนั้นถึงแม้จะไม่สามารถรับประกันแบบนั้นได้


จากความกังวลที่ว่าวันหนึ่ง ชั้นจะจากไป ความกังวลที่ว่าวันหนึ่งเธอถูกทอดทิ้ง เธอคอยซ่อนความรู้สึกเอาไว้ และพูดคุยกับชั้นอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ยังกลัวอยู่ตลอด


ที่จริงชั้นควรจะรู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


ตอนที่ชั้นสอนอีแลนทำอาวุธ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือเป็นกังวลว่าชั้นกำลังจะทิ้งเธอไป


กังวลว่าเธอทำให้เกิดเรื่องเลวร้าย กังวลว่าเธอจะทำอะไรแย่ๆลงไป ไม่สำคัญหรอกว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ไม่สำคัญว่าชั้นจะเอาใจใส่มากแค่ไหน มันก็ยังคงเหมือนกับตอนที่เธอกลับไปอยู่ในสงคราม เดินอยู่เพียงลำพัง


สำหรับเธอแล้ว การทำอาวุธที่ดีที่สุดไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่เธอได้อยู่ในร้านขายอาวุธ นอนบนเตียงเก่าๆ การได้อยู่เคียงข้างกับชั้น


ตอนที่เราออกมาจากหมู่บ้าน ถึงเธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่อีแลนก็เป็นกังวลมาก


แต่เธอก็ไม่เคยบอกชั้นเรื่องความกลัวในอนาคตของเธอ


เป็นเพราะเธอกลัวว่าชั้นจะรำคาญเธอ


จนถึงตอนนี้ ชั้นต้องใช้แรงเพื่อให้สมองที่ทำงานหนักเกินไปผ่อนคลายลงหน่อย


แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ชั้นจำเป็นจะต้องให้อีแลนเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตาลุงร้านขายอาวุธคนนี้จะไม่มีวันทิ้งผู้ช่วยของตัวเองแน่นอน


ถ้าผู้ช่วยคนนั้นจะซุ่มซ่ามไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร ถ้าเธอจะชอบร้องไห้ นั่นก็ไม่เป็นไร ถ้าเธอไม่สามารถลืมอดีตที่แสนเจ็บปวดได้ นั่นก็ไม่เป็นไรอีกเหมือนกัน


ถึงเธอจะดื้อรั้น นั่นมันก็ไม่สำคัญ


อีแลนที่นัยตาว่างเปล่า ปลดปล่อยพลังปีศาจออกมาเรียบร้อยแล้ว พื้นดินแตกออก เธอวิ่งเข้าใส่ชั้น


เธอนี่มันค่อนข้างขี้โวยวายเลยนะ อีแลน


ชั้นอ้าแขนทั้งสองข้างออก


หมัดแรกต่อยเข้าที่ท้องชั้น และทันใดนั้นร่างกายของชั้นก็ลอยไปในอากาศเหมือนกับใบไม้ที่ร่วงหล่นในลมพายุ


หืม ชั้นไม่คิดเลยนะว่าผู้ช่วยของร้านจะเป็นโลลิที่มีแรงระดับสัตว์ประหลาดแบบนี้


ร่างกายชั้นกระเด็นออกไปเป็นท่า ‘<’ และหลังชั้นก็ชนเข้ากลางลำต้นของต้นไม้โดยที่ไม่มีอะไรรองรับ เลือดพุ่งออกมาจากปากชั้นเป็นจำนวนมาก


“เอาเลยสิ อีแลน! แรงแค่นี้ยังอ่อนเกินไปนะ!”


เตะสูง มีเท้าพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าซีกซ้ายของชั้น และเป็นอีกครั้งที่ชั้นกระเด็นไปในอากาศ


คราวนี้ชั้นต่อต้านเล็กน้อย ในเมื่อชั้นกลัวว่าคอจะหักเอา ใบหน้าของชั้นบวมตุ่ย และปากชั้นก็เต็มไปด้วยเลือด ข้างในปากรู้สึกเค็มไปหมด


“หึหึหึ อีแลน แค่นี้...แค่กๆ แค่นี้ไม่ได้ทำให้ชั้นเจ็บเลยด้วยซ้ำ!!”


อีแลนกัดฟันแน่น


สิ่งต่อมาคือหมัดชุดแบบรัวๆ การโจมตีที่หนักที่สุดคือข้อศอก การโจมตีนี้ทำให้ชั้นหมอสภาพเลยทีเดียว นั่นเจ็บชะมัดเลย ชั้นรับมันไว้ทั้งหมด


อาา อีแลน ชั้นขอโทษนะ


เธอเก็บความทรมานที่มากยิ่งกว่านี้เอาไว้มาตลอดเลย


“มาสเตอร์!!”


ชั้นได้ยินเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดของคาโลน่า


ชั้นไม่เป็นไรหรอก เธอคิดว่าชั้นเป็นใครกัน


ชั้นรับการโจมตีไปประมาณสามสิบถึงสี่สิบครั้ง ก่อนที่ชั้นจะไม่สามารถตามทันอีกต่อไป หมัดแต่ละหมัดมีแรงที่จะซัดต้นไม้กระเด็นได้เลย


อดทนไว้ก่อนนะ ร่างกายชั้น


ใบหน้าชั้นเองก็โดนหมัดเข้าเช่นกัน


จมูกชั้นมีเลือดไหลออกมาเข้าไปในปาก และลูกตาของชั้นก็บวมเป่ง


ใครสนกันล่ะ!!


ข้ามกลับมาฝั่งนี้เพื่อชั้น อีแลน!


“หวะ หวา!! ฮึกๆ...ฮือ…..ฮึก...ฮือ แงงง!! หนูไม่อยากทำแบบนี้! หยุดนะ! หยุดมันที!”


กำปั้นที่กำลังรวบรวมแรงอยู่นั้น ตั้งใจที่จะโจมตีถึงชีวิต


บนหน้าเธอเต็มไปด้วยความเศร้าโศก น้ำตาไหลลงมาถึงคางไม่หยุด น้ำมูกเองก็ไหลลงมาผสมกับน้ำตาทำให้ใบหน้าเธอสกปรกไปหมด


เธออยากจะหยุดการโจมตีครั้งสุดท้าย พยายามอย่างหนักที่จะต่อต้านวิญญาณที่สิงเธออยู่ เยี่ยมเลย เธอสู้มันด้วยตัวเองได้แล้ว


การโจมตีนั้นก็ยังพุ่งมาอยู่ดี ชั้นใช้มือรับมันไว้อย่างนุ่มนวล


สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นการโจมตีที่ไร้เรี่ยวแรง


ชั้นคุกเข่าลงและกอดเธอซุกไว้ในหน้าอก


“ชั้นบอกแล้วว่าไม่เป็นไรหรอกอีแลน ถึงเธอจะทำอะไรแบบนี้ ชั้นก็ไม่เกลียดอีแลนหรอกนะ เพราะงั้นไม่ต้องกลัวไปหรอก”


“ฮีก…..ฮือออ แงงงงงงง หนูขอโทษหนูขอโทษหนูขอ---”


ซุกอยู่ในอ้อมกอดของชั้น เธอถูน้ำมูกและน้ำตาไปมาบนร่างชั้น


แต่มันไม่สำคัญหรอก


“ดูเหมือนแกจะแพ้แล้วนะ เจ้าตัวตลกสีขาว”


ชั้นพยายามมากที่จะรักษาสติเฮือกสุดท้ายเเอาไว้ และพูดกับคนที่ชั้นมองไม่เห็น


ถึงแม้ว่าชั้นจะมองไม่เห็นมัน แต่ชั้นก็รู้สึกได้ว่าเธอพยักหน้าให้


เพราะว่าออร่าที่ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลัวเริ่มจะบางลงแล้ว


อีแลนเริ่มที่จะขยับ ดีมาก


ดังนั้น ชั้นเองก็……

ภาพที่ชั้นเห็นเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท.

Because I'm a Weapon Shop Uncle เพราะชั้นคือตาลุงร้านขายอาวุธยังไงล่ะ! : 19 ตาลุงกับคำสาป (2)

Chapter 19: ตาลุงกับคำสาป (2)

ถึงชั้นจะมองไม่เห็นผู้หญิงผมยาวนั่น หลังผ่านไปสักพัก ชั้นก็พอจะเดาเจตนาของเธอออก


ใช้ร่างของคาโลน่าฆ่าพวกเราทั้งหมด จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย พวกเราทั้งหมดจะได้ถูกฝังไปพร้อมกับเธอ


ตอนนี้ สิ่งที่ชั้นสู้ด้วยไม่ใช่คาโลน่า แต่เป็นอย่างอื่น


ยิ่งกว่านั้น เธอไม่ได้แค่แข็งแรงธรรมดาๆด้วย


ค่าสถานะแต่ละอย่างของคาโลน่าที่ถูกจัดเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียน (นอกเหนือจากประสบการณ์การต่อสู้จริง) ไม่ธรรมดา


สิ่งที่ทำให้ชั้นปวดหัวก็คือเจ้าผีที่ควบคุมร่างของเธอ มันมีประสบการณ์การต่อสู้อยู่นิดหน่อย


จากการเผชิญหน้ากัน ชั้น คนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ขาดความได้เปรียบ และชั้นเองก็ไม่ได้ถืออาวุธอยู่อีกด้วย


คาโลน่า เหวี่ยงดาบเงินโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง ถึงการเคลื่อนไหวเธอจะไม่ได้เร็วนัก แต่ทุกๆครั้งที่เธอเหวี่ยงดาบมันจะทิ้งภาพติดตาเอาไว้ ชั้นเห็นดาบมากมายนั้นไม่ถ้วน


ชั้นบอกได้เลยว่าเธอกำลังจะโจมตี จากการเคลื่อนไหวของแขนเธอ ยังไงก็ตาม การทำแบบนี้มันก็มีขีดจำกัด


ถ้าเป็นแบบนี้ เมื่อคืนเธอคงจะฆ่าราชาหมาป่าได้ในทันทีอย่างแน่นอน


ยังไงก็เถอะ อย่างที่ชั้นบอกไปก่อนหน้านี้ การล้มคู่ต่อสู้น่ะ ไม่เพียงแค่ต้องพึ่งความแข็งแกร่งและประสบการณ์เพียงเท่านั้น ในการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนเดิมๆ ชั้นก็ต้องคิดหาวิธีอื่นในการเอาชนะ


ตอนนี้คาโลน่ายังไม่รู้สถานการณ์ของชั้น จากการหลบไปเรื่อยๆ ทำให้ชั้นสามารถสลับตำแหน่งของเราได้อย่างเงียบๆ


ตอนนี้อีแลนกับเจ้าขนปุยอยู่ข้างหลังชั้น ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถลอบโจมตีพวกเขาได้


ถ้าเธอวางแผนจะใช้ร่างของคาโลน่าฆ่าตัวตายล่ะก็ ชั้นเองก็มั่นใจเหมือนกันว่าจะป้องกันมันไว้ได้ พูดอีกนัยนึงก็คือ ตอนนี้คู่ต่อสู้ไม่ได้กำจุดอ่อนของชั้นเอาไว้


แต่ชั้นมีอาวุธเวทมนตร์สองอย่างอยู่


อย่างแรกก็คือสร้อยคอที่อยู่บนพื้น ชั้นไม่รู้ว่าทำไม แต่ดูเหมือนเจ้าผีนี่จะให้ความสำคัญกับมันมาก


อย่างที่สอง ชั้นมีวิธีจะกำราบเจ้าผีนี่ แต่ถ้าเป็นไปได้ ชั้นอยากให้แก้ปัญหาอย่างสันติมากกว่า


เธอเคยเป็นใคร ทำไมเธอถึงมาตายตรงนี้ และทำไมเธอถึงยังยึดติดกับเจ้าสิ่งสกปรกๆนี่ ชั้นอยากรู้ซะจริง


แต่น่าเสียดาย ถึงชั้นจะส่งสัญญาณว่าอยากเจรจา เจ้านี่ก็ยังวางแผนจะฆ่าชั้นอยู่ดี


จนถึงตอนนี้นั้น ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ที่ดุร้าย หลังจากเห็นความแตกต่างด้านพลังแล้วถึงจะฟังคำพูดชั้น ชั้นคิดว่านี่น่าจะได้ผลกับวิญญาณตนนี้


ถึงมันจะไม่ได้ผล ชั้นก็จะใช้สร้อยคอเอามาขู่ แล้วให้อีแลนเป็นคนคุย


ดังนั้นชั้นจึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบก่อน ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน ระหว่างชั้น หรือว่าวิญญาณที่สิงร่างคาโลน่า


หลังจากที่มายังโลกนี้ ชั้นไม่ได้เรียนเวทมนตร์อะไรเลย ดังนั้นแล้ว นอกจากเวทย์ ‘หลอมสรรพสิ่ง’ ชั้นก็ไม่รู้วิธีใช้เวทมนตร์อย่างอื่นเลย


แต่ชั้นเข้าใจในเรื่องพื้นฐานของเวทมนตร์ ดังนั้นชั้นเลยใช้พลังเวทย์เปล่าๆ เพื่อแยกแยะการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้


หลังจากนั้น ชั้นจำเวทย์เสริมพลังง่ายๆได้ วิธีใช้มันก็แค่รวบรวมพลังเวทย์ไว้ในส่วนหนึ่งของร่างกาย เหมือนกับความเร็วเทพของคาโลน่า ชั้นคิดว่ามันแค่การใช้พลังเวทย์ห่อหุ้มเอาไว้รอบๆตัว


นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นลองทำอะไรแบบนี้ เพราะว่ามันไม่เคยจำเป็นต้องใช้มาก่อน


แน่นอนว่า เวทย์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น คงใช้ไม่ได้จากการแค่รวบรวมพลังเวทย์แน่ๆ ดังนั้นชั้นคงจะพูดได้แค่ว่านี่เป็นแค่ก้าวแรกของเวทมนตร์เท่านั้น และก็ไม่สามารถก่อตัวเป็นเวทมนตร์ได้ด้วย


ผลของการเสริมพลังน้อยยิ่งกว่าเวทมนตร์ที่เหมาะสมหลายเท่าเลย


แต่สำหรับชั้น แค่นี้ก็พอแล้ว


ช้ามาก


ทุกๆอย่างช้ามาก


ในการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ การเคลื่อนไหวของคาโลน่าเต็มไปด้วยช่องว่าง การที่ใช้ความเร็วเพื่อปิดช่องว่างพวกนี้ จากการที่บังคับใช้รูปแบบการต่อสู้แบบนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่คุ้นเคยกับร่างที่เธอเพิ่งสิงไป


เพียงแค่มองชั้นก็รู้ว่า นั่นมันดูรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่


ทั้งร่างกายและจิตใต มันจะต้องมีพวกความล่าช้าลงบ้าง ด้วยระดับประสบการณ์ของวิญญาณดวงนี้ เธอจะต้องชะลอความเร็วลง เพื่อจะได้ควบคุมได้มากขึ้น


มันก็เหมือนกันตอนที่คุณเล่นเกม และคู่ต่อสู้ที่มีความเร็วเป็นสองเท่ากลับมาเป็นความเร็วปกตินั่นแหละสบายสุดๆเลย


มันคงจะเป็นเรื่องยากถ้าใช้แค่ความสามารถทางร่างกายในการจับเธอ แต่การใช้เวทมนตร์ทำให้มันง่ายสุดๆไปเลยล่ะ


เวทมนตร์นี่มันสะดวกจริงๆเลยน้ออ


ขณะที่คิดอย่างนี้ ก้ทำให้ชั้นรู้สึกละอายใจขึ้นมา เพราะการใช้เวทมนตร์เสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองมันมักจะให้ความรู้สึกเหมือน ชั้นไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตัวเองสู้เลย


แต่นี่มันก็เป็นเรื่องดี ทำให้การต่อสู้มันง่ายขึ้น


ง่ายมากที่จะจัดการกับช่องว่างการป้องกันของเธอ กำปั้นของชั้นโดนเข้าไปที่หน้าของคาโลน่า


ชั้นไม่อยากทำอย่างนี้เลยนะ แต่---


“ลืมตาขึ้นมาและดูชั้นสิ! ไม่มีหมาป่าอยู่แล้ว!! การที่มากลัวเพราะอะไรแบบนี้ เธอน่าจะละอายที่เรียกตัวเองเป็นอันดับหนึ่งนะ!!”


ชั้นไม่ได้ใช้แรงเต็มที่ สุดท้ายแล้ว การทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าสวยๆคงไม่ดีแน่


แต่มันก็ยังอยู่ในระดับที่ ทำให้คาโลน่านั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น จมูกของเธอมีเลือดไหลหยดลงบนพื้น


มีร่องรอยอาการบาดเจ็บอยู่ตรงมุมปากของเธอ คาโลน่ามองมาที่ชั้น และทันใดนั้นก็เริ่มร้องไห้


ขณะที่ร้องไห้ เธอก็อ้วกออกมา ท้องเธอคงจะปั่นป่วนเหมือนทะเลที่มีคลื่น


หลังจากนี้ คงไม่เป็นไรแล้ว


“อีแลน! วิญญาณตนนั้นยังสิงคาโลน่าอยู่รึเปล่า? อีแล--”


ถึงชั้นจะหลบออกมาด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี ดาบสั้นก็ยังปักอยู่ที่ขาของชั้น มีเพียงแค่ด้ามสีเงินที่ยื่นออกมา


แม้ว่าจะมองไม่เห็นสีของเลือดบนกางเกงสีดำ พวกมันก็เปียกชุ่มออกมาอย่างรวดเร็ว


“ชิ  แก..ไอ้บ้าเอ๊ย”


เป็นคนที่น่ารำคญอะไรอย่างนี้ ชั้นไม่คิดเลยว่าเธอจะไปสิงอีแลนตอนที่ชั้นเบนสายตาออกไปชั่วขณะ การที่ใช้วิธีแบบนี้มัน….


ชั้นอดตื่นตระหนกไม่ได้ ถ้ามีจังหวะที่ร่างกายของชั้นถูกชิงไปล่ะก็ คิดไม่ออกเลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง


“คนนึงแล้วไปอีกคนยังไม่พอ นี่แกต้องการอะไรกันแน่?”


คราวนี้ ในที่สุดเธอก็ใช้ร่างของอีแลนให้คำตอบกลับมา


“ชั้นอยาก….ได้เพื่อน”


ชั้นดึงดาบออกจากขา เลือดพุ่งออกมาทันที

“เพื่อนบ้าอะไรฟะ แกแค่อยากได้คนถูกฝังไปด้วยกันเท่านั้นแหละ กลับไปนรกแล้วก็อยู่ที่นั่นเลยนะเฟ้ย”

Atelier Tanaka ตอนที่ 3 : กิลด์นักผจญภัย(2)

กิลด์นักผจญภัย (2)

ชั้นเดินไปตามแม่น้ำ และมันก็พากลับมาที่เมืองจริงๆ ชั้นกลับมาสู่ความเจริญได้สำเร็จ

(คราวหน้าชั้นน่าจะเอาขนมไปให้ก๊อบลินซังเพื่อเป็นการขอบคุณ)

ชั้นมุ่งหน้าไปที่กิลด์นักผจญภัยเพื่อรายงานว่าชั้นทำภารกิจเก็บสมุนไพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“โฮ่ นี่มันหญ้ามาคอนไม่ใช่รึ?”

“คืออะไรล่ะนั่น?”

ชั้นกำลังพูดคุยอยู่กับชายหัวล้านกล้ามโตที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์

“มันเป็นสมุนไพรที่มีค่ามากกว่าหญ้าอารูน่าในภารกิจซะอีก หายากมากที่มันจะโตอยู่แถวๆนี้”

“เอ๋ จริงดิ? ถ้างั้นหมายความว่าชั้นทำภารกิจล้มเหลวงั้นหรอ?”

“ปกติแล้วจะเป็นแบบนั้น แต่ก็นะ ชั้นจะยกเว้นให้และแลกเปลี่ยนให้แกก็แล้วกัน เราหาหญ้าอารูน่าได้ทั้งปีอยู่แล้ว และยังไงมันก็ไม่มีการจำกัดเวลาในการเก็บด้วย”

(เข้าใจล่ะ ภารกิจแบบนี้ฟังดูเหมือนให้พวกคนไร้บ้านตามเก็บพวกกระป๋องเลยแฮะ เป็นงานที่เหมาะมากสำหรับคนอย่างชั้น)

“ขอบคุณมาก”

(หมอนี่อาจจะดูน่ากลัว แต่บางทีเขาอาจจะใจดีอย่างน่าประหลาดใจเลยก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลลัพธ์ล่ะนะ)

“นี่ค่าตอบแทนของแก”

“อ่า ขอบใจ”

เขาหยิบเหรียญออกมาเคาน์เตอร์

“สำหรับหญ้ามาคอนจำนวนขนาดนี้ ค่าตอบแทนอยู่ที่ 3 เหรียญเงินกับอีก 10 เหรียญทองแดง”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณ”

(ชั้นไม่รู้หรอกว่าเหรียญเงินนี่มันมีค่าเท่าไหร่ แต่ชั้นก็ควรรับมันเอาไว้)

เหรียญส่งเสียง *กริ๊งๆ* ออกมาตอนที่ชั้นยัดมันลงใส่กระเป๋า

“และด้วยสิ่งนั้น ภารกิจแกก็เสร็จสมบูรณ์”

มันยากที่ชั้นจะพูดอย่างอื่นนอกจากขอบคุณ ช่วยไม่ได้ที่ชั้นจะไม่คุยดีๆกับคนที่ดูท่าทางน่ากลัว บรรยากาศรอบๆมันทำให้ชั้นไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ มันให้ความรู้สึกเหมือนชั้นจินตนาการถึงตัวเองไปอยู่ตามชานเมืองตะวันตก

ชั้นไม่เห็นพวกคนต่างถิ่นที่นี่ ดังนั้นด้วยการที่ชั้นเป็นคนญี่ปุ่นตัวเล็กๆ มันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกจ้องใส่

ชั้นออกไปอย่างรีบร้อนเล็กน้อย

◇◆◇

การที่ไม่รู้ค่าของเงินเป็นปัญหาใหญ่ ชั้นต้องจัดการกับมัน

ดังนั้นชั้นเลยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่เจอบนถนนบอกเกี่ยวกับราคากลางเพื่อแลกเปลี่ยนกับทิป

หนึ่งเหรียญเงินมีค่าเท่ากับ 100 เหรียญทองแดง อาหารหนึ่งมื้ออยู่ที่ประมาณ 5 ถึง 10 เหรียญทองแดง การจะพักที่โรงแรมก็ต้องใช้อย่างน้อย 13 เหรียญทองแดง

ชั้นให้เธอไป 3 เหรียญทองแดง และเธอก็จากไปอย่างมีความสุข

(ถ้าชั้นใช้วิธีนี้กับสาวญี่ปุ่นม.ปลายล่ะก็ พวกเธอคงเรียกจะเอา 3000 เยน ถ้าไปคุยกับสาวม.ต้น ชั้นคงถูกจับ และถ้าเป็นเด็กประถมล่ะก็ สัญญาณเตือนภัยคงดังก่อนที่ชั้นจะได้คุยแหงๆ)

(ตอนนี้ ชั้นต้องซื้อกระเป๋ากับเสื้อผ้าสักหน่อย ชั้นต้องใช้อะไรอีกบ้างนะ…?)

เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของชั้นแห้งแล้ว ต้องขอบคุณสภาพอากาศ แต่พวกมันก็ขาดรุ่งริ่ง และชั้นเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้ต่อไปได้รึเปล่า

ชั้นเดินเข้าไปในร้านที่เจอตามถนนแบบสุ่มๆ และถามเกี่ยวกับราคา

เสื้อผ้ามือสองถูกกว่ามาก และชั้นก็ซื้อมาเป็นชุดเซ็ทโดยที่ไม่เสียเงินไปมากนัก กางเกงกับเสื้อแจ็คเก็ตทำมาจากหนังหนาๆ และกางเกงในก็ทำมาจากอะไรบางอย่างที่คล้ายกับผ้าฝ้าย

ชั้นเดินหาอยู่หลายร้าน และซื้อกระเป๋าที่ทำจากหนังชนิดเดียวกัน ที่มีช่องใส่ของกับเชือกมัดปากถุงมากกว่ากระเป๋าถือ

โดยรวมแล้วชั้นใช้เงินไปทั้งหมด 1 เหรียญเงิน มันทำให้รู้สึกว่าแพงกว่าเมื่อเอาไปเทียบกับค่าอาหารและที่พัก

ชั้นเหลืออยู่แค่ 2 เหรียญเงิน

(ชั้นจะทำยังไงกับเงินที่เหลืออยู่ดีนะ? โอ๊ะ ชัดเลยว่านี่เป็นโลกแฟนตาซีสินะ ดังนั้นชั้นจำเป็นต้องมีดาบ)

ชั้นเคยฝันว่าจะเป็นนักดาบตอนอายุ 14 และตอนนี้โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าชั้นแล้ว มันใกล้จะมืดแล้ว ดังนั้นชั้นจึงรีบเดินไปตามถนนมองหาร้านขายอาวุธ


◇◆◇


“ยินดีต้อนรับ”

ชั้นเจอร้านขายอาวุธแล้ว พวกเขามีทั้งดาบ ขวาน หอก และอย่างอื่นที่ชั้นไม่รู้จักอีก มันทำให้ชั้นนึกถึงสวนสนุกเลย

(อ่า ชั้นสามารถดูเจ้าพวกนี้ได้ทั้งวันเลยนะเนี่ย)

(แต่เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันโคตรแพงเลยนี่หว่า)

พอดูที่ป้ายราคา อาวุธส่วนใหญ่มีราคาอยู่ประมาณ 30 ถึง 50 เหรียญเงิน ส่วนของที่แพงที่สุดที่ชั้นเห็นมีราคาถึง 300 เหรียญเงิน

(เฮ้ เฮ้ นี่มันมากพอจะซื้อรถได้เลยนะ)

“ยะโฮ่…?”

ถ้าชั้นได้ดาบโดยใช้แค่ 1 เหรียญเงินก็คงจะดี แต่เจ้าพวกนี้มันราคาแพงเกินไป

“มีอะไร?”

“มีอะไรที่ชั้นพอจะซื้อได้ด้วย 1 เหรียญเงินมั้ย?”

“ 1 เหรียญเงินหรอ? ไม่มีหรอก”

(พูดตรงชะมัด เป็นเจ้าของร้านที่หยาบคายอะไรแบบนี้!)

พอชั้นมองไปที่เจ้าของร้าน ชั้นก็เห็นว่าเขาดูคล้ายๆกับดวอร์ฟมาก ที่จริงเขาก็คือดวอร์ฟน่ะแหละ

(ดวอร์ฟตัวจริงเสียงจริงหรอเนี่ย! สุดยอดเลย)

“ไม่มีงั้นหรอ?”

“เข้ามาที่ร้านของข้าแล้วยังจะมาหาของราคาแค่ 1 เหรียญเงินงั้นเรอะ แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ไม่ว่าที่ไหนแกก็หาอาวุธที่ราคาแค่ 1 เหรียญเงินไม่ได้หรอก”

“อ่า เข้าใจแล้ว ขอโทษที่มารบกวนนายก็แล้วกันนะ”

“ถ้าแกไม่ได้จะมาซื้ออะไรก็ไสหัวออกไปซะ”

“เอ๋?”

ชั้นถอดใจกับร้านนั้นและออกมา ขณะที่เดินไปตามถนน คิดว่าจะทำยังไงต่อไป

(ชั้นสามารถไปรวมรวบสมุนไพรพวกนั้นอีก แต่อย่างเดียวที่ทำให้ชั้นได้พวกมันมา เป็นเพราะชั้นได้พบกับก๊อบลินที่เป็นมิตร ไม่มีทางที่อะไรอย่างนั้นมันจะเกิดขึ้นซ้ำสองหรอก)

(อาวุธก็แพงสุดๆ ชั้นอยากให้อย่างน้อยก็มีพวกอาวุธพื้นฐานไว้ป้องกันตัวเองจังเลยน้า)

(อ๊ะ แล้วเวทมนตร์ล่ะ!? บางทีชั้นอาจจะปล่อยลูกไฟ หรืออะไรบางอย่างได้นะ)

ชั้นมีเวทย์ฟื้นฟู มันไม่ใช่เวทมนตร์ที่เอาไว้โจมตี แต่ชั้นก็มี MP อยู่เยอะเลย

ติดตัว : การฟื้นฟูมานา : Lv.Max
          ความชำนาญเวทย์ : Lv.Max

ใช้งาน : เวทย์ฟื้นฟู : Lv.Max

แต้มสกิลที่เหลือ : 2

(เวทย์ฟื้นฟูยังเป็นสกิลเปิดใช้งานเพียงอันเดียวของชั้นอยู่ แต่ชั้นได้แต้มสกิลมาหน่อยนึงล่ะ แจ๋ว!)

(ชั้นจะต้องใช้พวกมันทำอะไรบางอย่าง แต่จะชั้นใช้มันยังไงล่ะ? ชั้นมองเห้นหน้าต่างพวกนี้นะ แต่มันไม่มีของอย่างพวกเคอร์เซอร์อยู่เลย)

(ไม่สิ เดี๋ยวนะ ชั้นแค่คิดว่าจะใช้เวทย์ฟื้นฟูแล้วมันก็ได้ผลนี่)

ชั้นพึมพำอยู่กับตัวเองขณะที่เดินไปด้วย

“ชั้นจะยิงลูกไฟ ลูกไฟ ลูกไฟ ลูกไฟ ลูกไฟ กำแพงไฟได้ก็โอเค ศรไฟก็ดีเหมือนกัน หอกเพลิง ก็คงจะดูเท่ดี”

ชั้นรู้สึกเหมือนทุกคนที่อยู่ใกล้ๆจ้องมาที่ชั้นเหมือนว่าชั้นเป็นคนบ้า แต่ชั้นพยายามจะเมินพวกนั้นไป

หลังจากนั้นสักพักก็มีบางอย่างเกิดขึ้น ชั้นรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นอยู่ในร่างกาย

(ได้ผลงั้นหรอ?!)

ชั้นเช็คสกิลของชั้นอีกรอบ

ติดตัว : การฟื้นฟูมานา : Lv.Max
          ความชำนาญเวทย์ : Lv.Max

ใช้งาน : เวทย์ฟื้นฟู : Lv.Max
เวทย์ไฟ : Lv.1

แต้มสกิลที่เหลือ : 1

“ฮ่า! นี่ไงล่ะ!”

ชั้นไม่รู้รายละเอียดของสกิลที่ได้มา แต่ชั้นหวังว่ามันจะเป็นอะไรที่สามารถใช้เผาศัตรูได้นะ ถ้าชั้นทำแบบนั้นได้ล่ะก็ ต่อให้ไม่มีดาบก็ไม่เป็นไร

(เอาล่ะ ทีนี้ก็ ได้เวลาหาโรงแรมพัก)

(ตอนที่ชั้นหลงทางในป่าพร้อมกับอึบนมือ ชั้นเป็นกังวลมากเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าจะทำยังไง)

(หืมม ชั้นสงสัยจังเลยว่าเลเวลสูงสุดของสกิลนี่มันเท่าไหร่กันนะ)

(แล้วคนอื่นๆเพิ่มเลเวลสกิลกันยังไงล่ะ? พวกเขาเห็นหน้าต่างเหมือนกัน และก็ใช้แต้มสกิลโดยการพูดกับตัวเองงั้นหรอ? ชั้นอยากให้ดูข้อมูลพวกนี้แบบออนไลน์ได้จัง)

(บางทีชั้นน่าจะหาเด็กสาวตัวน้อยๆตามถนนมาถามดูนะ)

ชั้นดีใจมากเลยที่พวกเด็กแถวๆนี้ยอมคุยกับคนหน้าตาน่าเกลียดๆแบบชั้น

(อันที่จริง มาคิดๆดูจากการที่พวกเธอมีความสุขขนาดไหนพอได้รับเงิน บางทีชั้นเองก็น่าจะใช้เงินเข้าไปในซ่องได้เหมือนกันสินะ)

(ชั้นจะลองดูดีมั้ยนะ?)

(...)

(สำหรับตอนนี้ ชั้นควรจะหาอาหารกินสักหน่อย อย่างเดียวที่ชั้นได้กินวันนี้มีแค่น้ำจากแม่น้ำในป่าเอง หิวจริงๆเลยแฮะ)

◇◆◇

พอพระอาทิตย์ตกดิน ร้านเหล้าบางร้านก็เริ่มเปิด มีกลิ่นหอมๆลอยออกมาจากทางเข้า ชั้นเลยเดินเข้าไป

ประมาณ 90% ของที่นั่งเต็มหมดแล้ว ชั้นคว้าที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ที่เหลือไว้อย่างกับนักเบสบอลสไลด์เข้าโฮมเบส และสั่งอาหารจานเนื้อที่ไม่รู้จัก

ขณะที่ชั้นจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้า ชั้นก็ได้มีประสบการณ์ครั้งแรกกับแอลกอฮอล์ของโลกนี้

(ไม่เลวเลย)

เนื้อที่ดูเหมือนสเต็ก และเครื่องดื่มที่คล้ายๆกับเบียร์เยอรมัน ทั้งสองอย่างนี้เป็นของที่ชั้นชอบ

“อร่อยมาก”

ชั้นจัดการกับอาหารที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว ชั้นเดินมาทั้งวันแล้วดังนั้นชั้นค่อนข้างหิวเลยล่ะ

หลังจากที่จัดการอาหารเสร็จแล้ว ก็จัดการกับเครื่องดื่มที่เหลือ

(อ่า แอลกอฮอล์หวานดีจริงๆ โชคดีชะมัดเลยที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีอยู่ที่นี่ด้วย)

ชั้นซัด 2 แก้ว

“ฟู่ววว” ชั้นมองไปบนเพดานขณะที่พ่นลมออกมา

(ชั้นคอไม่แข็งสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่ควรจะดื่มมากนัก)

(แต่อีกสักแก้วคงไม่เป็นไรหรอก...)

ชั้นโบกมือให้พนักงานเพื่อสักอีกแก้ว นั่นเป็นตอนที่มีอะไรแข็งๆกระทบเข้ากับหลังหัวของชั้น

“..โอ๊ย..”

มันเป็นเสียงของอะไรบางอย่างแตก มีใครบางคนขว้างจานมา

(ที่นี่มันสถานที่แบบไหนกันเนี่ย!?)

“ฟื้นฟู-ฟื้นฟู..?”

ขณะที่ชั้นลูบหลังหัวไปด้วย ชั้นก็ใช้เวทย์ฟื้นฟู ความเจ็บปวดหายไปในทันที และชั้นก็หันกลับไป

มีการทะเลาะกันเกิดขึ้น คนที่ดูท่าทางน่ากลัวสองคนที่ชั้นเห็นในตึกกิลด์กำลังเผชิญหน้ากัน ขณะที่ชั้นดูอยู่ พวกเขาก็เริ่มพุ่งเข้าใส่กันอย่างกับสัตว์ป่า

(ชั้นควรจะทำอะไรดี?)

(....)

ชั้นหันไปด้านขวาอย่างเงียบๆและมองไกลออกไป ชั้นไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย

“เอ่อ ขอโทษนะ ชั้นขออีกแก้วได้มั้ย?”

ชั้นเสียงเบากว่าปกติตอนที่สั่งพนักงานเสิร์ฟ

“...คุณเป็นอะไรรึเปล่า? เสียงก่อนหน้านี้มันไม่ธรรมดาเลยนะ”

พนักงานเสิร์ฟเป็นห่วงท้ายทอยของชั้นด้วย

(ช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้!)

เธอดูอายุประมาณ 15 ปี และค่อนข้างน่ารักเลย ด้วยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวถึงไหล่ และดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่นั้น เธอเดินไปมารอบๆร้านอย่างกระปรี้กระเปร่า และผ้ากันเปื้อนที่ใส่อยู่ก็เหมาะกับเธอเป็นอย่างดี

“ใช่ๆ ชั้นสบายดี ขออีกแก้วได้มั้ย? เอาแบบเดิมน่ะ”

“คุณ...คุณเป็นคนใจเย็นมากเลยนะ คุณไม่…”

“ไม่เป็นไร จริงๆ…”

(ชั้นไม่เป็นไร ถ้ามีเบียร์อยู่ การต่อสู้ข้างหลังไม่ใช่ปัญหาของชั้นเลย ไม่ใช่ปัญหาของชั้นสักนิด)

เธอพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว และเอาเครื่องดื่มมาให้ชั้นอีกแก้ว


ขณะที่ชั้นกำลังคิดถึงเครื่องดื่มที่กำลังจะได้ ก็มีบางอย่างกระทบเข้าที่ท้ายทอยชั้นอีกครั้ง

“อั่ก...”

มันแย่ยิ่งกว่าครั้งแรกซะอีก ชั้นฟุบลงไปกับเคาน์เตอร์ข้างหน้า และมีบางอย่างกระทบกับพื้นดัง ‘ก๊อง’ มันน่าจะเป็นเสียงของแก้วไม้

“ฟื้นฟู..ฟื้นฟู…”

ชั้นใช้เวทย์ฟื้นฟูด้วยความสับสน และความเจ็บปวดบนหัวก็หายไปอีกครั้ง

“...บ้าเอ๊ย ร้านนี้มัน..”

ชั้นมองไปด้านหลัง และทั้งสองคนก็ยังอยู่ตรงนั้น

“คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ?”

พนักงานเสิร์ฟมาถึงพร้อมกับเครื่องดื่มของชั้น และก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำแบบเดิมอีก ชั้นดีใจจังเลยที่เธอเป็นห่วง

“...ไม่เป็นไรหรอก”

“นั่นมันค่อนข้างดังเลยนะ ถึงอย่างนั้...”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ขอเครื่องดื่มให้ชั้นได้มั้ย?”

“อ๊ะ ค่ะ นี่ค่ะ”

“อ่าาา อร่อยจริงๆ”

“..คุณค่อนข้างแข็งแรงเลยนะคะ อย่างน้อยก็หัวคุณ”

“ไม่หรอก”

(เวทย์ฟื้นฟูนี่มันดีจริงๆ ถ้าชั้นไม่มีมันล่ะก็ ชั้นคงเจ็บไปอีกหลายนาทีเลยล่ะ)

“อ๊ะ…”

“เอ๋?”

จากนั้นพนักงานเสิร์ฟก็ร้องออกมา และก็มีเสียงดังกระหึ่มข้างใต้ชั้น เก้าอี้ถูกกระแทกออกจากใต้ที่นั่งชั้น และชั้นก็ร่วงลงไปบนพื้น

“เหวอออออออ!”

ชั้นร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวตอนที่ล้มลงไป

(อะไรฟะเนี่ย?)

ถึงชั้นจะยังร้องออกไปอยู่ ชั้นก็ใช้เวทย์ฟื้นฟูอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว

เป็นอีกครั้งที่ความเจ็บปวดหายไป ชั้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ชั้นเห็นสิ่งที่มากระแทกเก้าอี้ที่ชั้นนั่ง เป็นหนึ่งในพวกผู้ชายที่ดูท่าทางน่ากลัวกลิ้งอยู่บนพื้นใกล้ๆ

“คะ คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะ?”

“ไม่เป็นไร ชั้นไม่เป็นไร…”

ผู้ชายที่กลิ้งอยู่บนพื้น หัวของเขาถูกกระแทกอย่างแรงทำให้หมดสติไป และคนที่เหลือก็มองไปที่เขาอย่างโกรธเคืองและดูเหมือนจะพอใจ

“เอ่อ คุณครับ…”

พนักงานเสิร์ฟมองมาที่ชั้นอย่างเป็นกังวล ชั้นมีความสุขที่เธอเป็นห่วงคนอย่างชั้นด้วย เวทมนตร์ของชั้นรักษาร่างกายได้ก็จริง แต่สายตาของเธอช่วยเยียวยาจิตวิญญาณของชั้นเลยล่ะ

“..อะไร เจ้าบ้านี่? แกก็จะเอาด้วยงั้นเรอะ?”

ผู้ชายคนที่เหลือจ้องมาที่ชั้น หน้าของเขาแดงฉ่า และเห็นได้ชัดเลยว่าเขาเมาแล้ว

(หมอนี่น่าจะต้องเป็นพวกที่เมาจนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันต่อมาแน่ๆเลย)

(สำหรับตอนนี้ ชั้นน่าจะเช็คสถานะเขาก่อน)

ชื่อ : อ็อตโต แม็คแฟร์
เพศ : ชาย
เผ่า : มนุษย์
เลเวล : 23
อาชีพ : นักดาบ

HP:420/509
MP:0/0
STR:170
VIT:220
DEX:121
AGI:87
INT:20
LUC:28

(ไม่มีทางที่ชั้นจะชนะได้เลย)

(ชั้นมีค่า INT ที่สูง แต่ไม่มีเกราะหรือพลังป้องกัน ดังนั้นชั้นคงจอดในหมัดเดียว ชั้นไม่มีแม้แต่โอกาสใช้เวทย์ฟื้นฟูแน่ๆ)

“ไม่ ไม่ใช่…”

ชั้นหยิบเก้าอี้ขึ้นมาตั้งและนั่งลงไปอีกครั้ง

“ฮะ! แกกลัวงั้นเรอะ? ไอ้หนุ่มซิงนี่กลัวด้วยเฟ้ย!”

(แหม… ขอโทษด้วยนะที่ยังซิงน่ะ)

(แล้วทำไมหมอนี่ถึงอยากจะสู้กับชั้นด้วยล่ะ?)

“ขอโทษทีนะ…”

(สำหรับตอนนี้ก็ ชั้นแค่ขอโทษและหวังว่าหมอนี่จะปล่อยชั้นไว้คนเดียวสักที)

“ฮ่าฮ่า เจ้าเปี๊ยกนี่กำลังขอโทษด้วยฟ่ะ!”

หลังจากนั้น ดูเหมือนหมอนั่นจะเบนความสนใจไปจากชั้น

(ฟู่วว ชั้นรอดแล้ว)

ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ชั้นหันหน้าหนีจากหมอนั่นอีกครั้ง เป็นปาฏิหาริย์เลยแฮะ เครื่องดื่มของชั้นบนเคาน์เตอร์ยังปลอดภัย ชั้นหยิบมันมาและเริ่มดื่ม

(อ่าา เบียร์แสนอร่อย อร่อยจริงๆ แต่ยังไง...)

ชั้นไม่สามารถสนุกไปกับการดื่มได้มากสักเท่าไหร่ ที่มีร่างคนนอนอยู่บนพื้นใกล้ๆเท้า ข้างหลังชั้น หมอนั่นก็เริ่มสู้กับชายอีกคน

ชั้นกังวลเรื่องความเครียดทางจิตใจของพนักงานเสิร์ฟจริงๆเลยนะ

(พอแล้วล่ะ สำหรับการดื่มในวันนี้)

“ขอโทษนะ ชั้นอยากคิดเงินเลยน่ะ”

“อ๊ะ ค่ะ…”

ชั้นจ่าย 10 เหรียญทองแดงและเดินออกจากร้านไป